เคยไหม ที่อยู่ดี ๆ ขนสวย ๆ ของน้องเหมียวสุดที่รักก็เริ่มแปลกไป อาจจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ เหมือนรังแค แล้วค่อย ๆ ลามเป็นวงกลม ขนร่วงเป็นหย่อม ๆ แถมบางทีเจ้าตัวแสบก็ดูเหมือนจะคันไม้คันมือ เกาจนผิวแดงไปหมด เห็นแล้วใจทาสอย่างเรามันเจ็บสุด ๆ 🥺
แต่อย่าเพิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะอาการที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ฟันธงเลยว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่น้องเหมียวของเรากำลังเผชิญหน้ากับ “เจ้าวายร้ายขนฟู” หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ “โรคเชื้อราแมว” นั่นเอง
ในบทความนี้ เราเลยจะมาเปิดคัมภีร์ลับ “เจ้าวายร้ายขนฟู” ที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสัญญาณเตือนภัยต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าน้องเหมียวของเรากำลังโดนเชื้อรารุกราน พร้อมทั้งไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่ถูกต้องและเห็นผลจริง !

ไขข้อสงสัย เชื้อราแมว เกิดจากอะไร ?
เชื้อราแมว หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dermatophytosis ไม่ได้เกิดจากหนอนอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ซึ่งเจริญเติบโตบนเคราติน หรือโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง ขน และเล็บของแมว การติดเชื้อนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน
✅ ประการแรก – การสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อราแมว เป็นสาเหตุหลักของการแพร่กระจายโรค เนื่องจากสปอร์ของเชื้อราสามารถติดอยู่บนผิวหนังและขนของสัตว์ป่วย และเมื่อแมวสัมผัสใกล้ชิดกัน สปอร์เหล่านี้ก็สามารถถ่ายทอดไปยังแมวตัวอื่นได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีแมวอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น บ้านที่มีแมวหลายตัว หรือสถานสงเคราะห์สัตว์
✅ ประการที่สอง – สภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อรา ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ สปอร์เหล่านี้มีความทนทานสูงและสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือนบนพื้นผิวต่าง ๆ เช่น เครื่องนอน เฟอร์นิเจอร์ แปรงขน หรือแม้แต่ในดิน หากแมวสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ สปอร์ก็สามารถติดบนตัวและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีรอยขีดข่วนหรือบาดแผลเล็กน้อยบนผิวหนัง
✅ ประการที่สาม – ภูมิคุ้มกันของแมว แต่ละตัวมีบทบาทสำคัญต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อ แมวที่มีอายุน้อย แมวแก่ หรือแมวที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากโรคประจำตัวหรือภาวะสุขภาพอื่น ๆ จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราแมวมากกว่าแมวที่มีสุขภาพแข็งแรง เนื่องจากร่างกายของพวกมันไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✅ ประการสุดท้าย – สุขอนามัยที่ไม่ดีและการดูแลที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเชื้อราแมวได้ อาทิ การไม่รักษาความสะอาดของสภาพแวดล้อมที่แมวอาศัยอยู่ การไม่ดูแลขนของแมวให้สะอาดอยู่เสมอ หรือการปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจสุขภาพโดยรวมของแมว อาจทำให้แมวอ่อนแอและง่ายต่อการติดเชื้อราได้

รวมสัญญาณเตือน ! น้องแมวอาจกำลังเป็นเชื้อรา
ดูยังไงว่าแมวเป็นเชื้อรา ? หนึ่งในคำถามที่ทาสอย่างเรา ๆ มักถามกับตัวเองทุกครั้ง เมื่อพูดถึงเชื้อราแมว ดังนั้น ในพารากราฟนี้เราเลยจะมาแชร์ 5 สัญญาณสำคัญ ที่บ่งบอกว่าน้องแมวสุดที่รักอาจกำลังเผชิญกับปัญหาผิวหนังจากเชื้อราอยู่
⚠️ สัญญาณเตือนแรก – ลองสังเกตลักษณะของขนที่ร่วงผิดปกติ นอกเหนือจากการร่วงเป็นหย่อมวงกลมที่เราคุ้นเคยแล้ว เชื้อราในแมวบางชนิดอาจทำให้เกิดการร่วงของขนเป็นบริเวณกว้างและไม่เป็นรูปทรงที่ชัดเจนนัก หรืออาจสังเกตเห็นเส้นขนที่เปราะบางและหักง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า รอบดวงตา หู และอุ้งเท้า หากคุณพบว่าน้องแมวมีขนร่วงในลักษณะดังกล่าว ร่วมกับอาการคันหรือเกาบ่อยครั้ง ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
⚠️ สัญญาณเตือนที่สอง – การเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังในบางบริเวณ นอกเหนือจากรอยแดงอักเสบที่มักพบได้ทั่วไปแล้ว เชื้อราบางชนิดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังเป็นสีดำคล้ำ หรือเกิดเป็นสะเก็ดที่มีสีเทาหรือสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งอาจดูคล้ายกับรังแคแต่มีความหนาและติดแน่นกับผิวหนังมากกว่า โดยเฉพาะบริเวณรอยพับของผิวหนัง เช่น ข้อศอก ข้อเข่า หรือระหว่างนิ้วเท้า หากสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที
⚠️ สัญญาณเตือนที่สาม – ลองสังเกตความผิดปกติของเล็บ น้องแมวที่ติดเชื้อราอาจแสดงอาการเล็บผิดปกติร่วมด้วย เช่น เล็บหนาขึ้น เปราะหักง่าย มีสีขุ่น หรือเกิดการอักเสบรอบโคนเล็บ ซึ่งอาจทำให้เจ้าเหมียวแสดงอาการเจ็บปวดเมื่อถูกสัมผัสบริเวณอุ้งเท้า หรือเลียเท้าบ่อยกว่าปกติ หากพบความผิดปกติเหล่านี้ร่วมกับอาการทางผิวหนังอื่น ๆ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

⚠️ สัญญาณเตือนที่สี่ (ที่อาจถูกมองข้าม) – พฤติกรรมการเลียทำความสะอาดตัวเองที่เปลี่ยนไป น้องแมวที่ติดเชื้อราอาจเลียหรือกัดบริเวณที่เป็นปัญหาบ่อยกว่าปกติ ซึ่งเป็นการพยายามบรรเทาอาการคันหรือระคายเคือง แต่การเลียมากเกินไปอาจทำให้อาการแย่ลง ผิวหนังอักเสบมากขึ้น หรือเกิดแผลเปิดได้ หากคุณสังเกตเห็นว่าน้องแมวให้ความสนใจกับบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายเป็นพิเศษ ควรตรวจสอบบริเวณนั้นอย่างละเอียดเพื่อหาความผิดปกติของผิวหนังต่อไป
⚠️ สัญญาณเตือนที่ห้า – อาการคัน แม้ว่าอาการคันจะเป็นสัญญาณที่พบบ่อยของโรคผิวหนัง แต่ในกรณีของเชื้อรา น้องแมวบางตัวอาจแสดงอาการคันไม่มากนัก หรืออาจมีอาการคันเป็นพัก ๆ ทำให้เจ้าของอาจไม่ทันสังเกต ดังนั้น การสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การเกาเบา ๆ หรือการถูไถตัวกับสิ่งของบ่อยขึ้น ก็อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาเชื้อราได้
Q & A :
แมวเป็นเชื้อรา อาบน้ําได้ไหม ?
การอาบน้ําแมวที่เป็นเชื้อราสามารถทำได้ แต่ต้องใช้แชมพูยาที่สัตวแพทย์แนะนำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการอาบน้ำจะช่วยกำจัดสปอร์ของเชื้อราบนตัวแมว ลดการแพร่กระจายเชื้อ และช่วยให้ยาที่ใช้ทาทำงานได้ดีขึ้น
แมวเป็นเชื้อราต้องจับแยกไหม ?
จำเป็นต้องจับแมวที่เป็นเชื้อราแยกออกจากแมวตัวอื่นทันที เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อราไปยังแมวตัวอื่นและคนในบ้าน

วิธีรักษาเชื้อราแมวให้หายขาด ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
น้องแมวเป็นเชื้อราว่าแย่แล้ว ยังต้องมานั่งกังวลอีกว่า จะกลับมาเป็นซ้ำอีกไหม ? ดังนั้น ในฐานะคนรักแมว เราเลยจะมาแบ่งปันแนวทางการรักษาเชื้อราในแมวให้หายขาด และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ดูแลน้องแมวที่บ้านได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ไร้กังวลเรื่องเชื้อราร้ายกวนใจ
🐱 การรักษาเชื้อราในแมวให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน นอกจากการใช้ยาตามที่คุณหมอแนะนำแล้ว การจัดการสภาพแวดล้อมรอบตัวน้องแมวก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้นและไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้น การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่น้องแมวอยู่เป็นประจำจึงเป็นปราการด่านสำคัญที่จะช่วยตัดวงจรการแพร่กระจายของเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคุณควรทำความสะอาดที่นอนของน้องแมว กรง หรือบริเวณที่น้องแมวชอบไปคลุกคลีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการดูดฝุ่นและเช็ดถูพื้นเพื่อกำจัดสปอร์ของเชื้อราที่อาจตกค้างอยู่
🐱 อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของน้องแมวให้แข็งแรงจากภายใน เมื่อร่างกายของน้องแมวแข็งแรงก็จะสามารถต่อสู้กับการรุกรานของเชื้อราได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเลือกอาหารที่มีคุณภาพและมีสารอาหารครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การให้วิตามินหรืออาหารเสริมที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพื่อให้น้องแมวมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง

🐱 การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวของน้องแมวอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันการกลับมาของเชื้อรา โดยทาสอย่างคุณควรอาบน้ำให้น้องแมวอย่างสม่ำเสมอ ด้วยแชมพูอาบน้ําแมว หรือ แชมพูสัตว์เลี้ยง รวมถึงการแปรงขนให้น้องแมวเป็นประจำ ก็จะช่วยกำจัดขนที่หลุดร่วง และลดความอับชื้นบนผิวหนังได้ ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรานั่นเอง นอกจากนี้ การเช็ดตัวน้องแมวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราอ่อน ๆ ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ในระหว่างการรักษาก็สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อราบนผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง
🐱 สุดท้ายนี้ การติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและไปพบสัตวแพทย์ตามนัดหมายเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ถึงแม้ว่าอาการภายนอกของน้องแมวจะดูดีขึ้นแล้วก็ตาม
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า การรักษาเชื้อราในแมวต้องอาศัยทั้งความสม่ำเสมอและความร่วมมือจากเจ้าของและน้องแมว อีกทั้ง การปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็สามารถช่วยให้น้องแมวหายจากเชื้อราได้อย่างถาวรและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกนั่นเอง