เกี่ยวกับนีโอ

2532

  • ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2532 ภายใต้ชื่อ บริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด โดยมีปณิธานที่จะผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ที่มีคุณภาพที่ดี บรรจุภัณฑ์ทันสมัยและสะดวกในการใช้ ในราคาที่เหมาะสมให้แก่ผู้บริโภค มีการขยายไลน์สินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่าย ทั้งจากการสร้างสรรค์แบรนด์ใหม่ๆ และเพิ่มประเภทของสินค้าในแต่ละแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของผู้บริโภคและเหมาะสมกับ Lifestyle ในทุกช่วงอายุ
  • ควบคุมการพัฒนาสินค้า การผลิตสินค้าและการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านโรงงานรับผลิตและบริษัทตัวแทน ในการจัดจำหน่าย โดยเริ่มจากผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว ประเภทโคโลญ และ ดีโอดอแรนท์ โรลออน ภายใต้แบรนด์ เอเวอร์เซ้นส์ ซึ่งได้รับความนิยม ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของสินค้าวัยรุ่นหญิง ในทันทีที่ออกสู่ตลาด

2533

  • แนะนำผลิตภัณฑ์โคโลญและโรลออน สำหรับผู้ชาย ภายใต้แบรนด์ ทรอส เข้าสู่ตลาด เป็นโคโลญผู้ชายแบรนด์แรกของประเทศ ประสบความสำเร็จอย่างสูงทันที โดยคงความเป็นอันดับ 1 มาตลอด จนถึงปัจจุบัน

2534

  • ขยายเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ภายใต้ แบรนด์ ไฟน์ไลน์ โดยมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์รีดเรียบมากกว่าผลิตภัณฑ์อัดกลีบซึ่งเป็นที่นิยมในขณะนั้น เนื่องจากเล็งเห็น Lifestyle ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ที่ต้องการลดเวลาในการดูแลเสื้อผ้าลง ประเภทของเนื้อผ้าที่ใช้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำเป็นต้องใช้อัดกลีบอีกต่อไป ประกอบกับการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ แบบถุง Pouch เป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งราคาถูกกว่า และประหยัดเนื้อที่ในการเก็บ ส่งผลให้ ไฟน์ไลน์ เป็นเจ้าตลาด รีดเรียบและอัดกลีบภายใน 2-3 ปีแรก
  • บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด (หรือ บริษัทไบโอ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ในขณะนั้น) เริ่มเดินสายการผลิตสินค้าประเภทของใช้ส่วนตัว

2536

  • บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด เปิดสายการผลิตสินค้าของใช้ในครัวเรือน

2537

  • บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (บ.ไบโอ คอนซูเมอร์ ในขณะนั้น) ดำเนินการจัดจำหน่าย โดยทีมขายของบริษัทเอง
  • ย้ายที่ทำการ จาก 6/14 ซ. พร้อมศรี 1 เขตวัฒนา กทม. 10110 มาที่ อาคารไบโอเฮาส์ ชั้น 6 เลขที่ 55 ถ. สุขุมวิท 39 เขตวัฒนา กทม. 10110
  • ใช้ระบบ Back Office BPICS สนับสนุนการจัดการด้านการขาย

2538

  • ผลิตภัณฑ์ไฟน์ไลน์ ขยายประเภทสินค้าเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้า (Delicate Wash) ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ภายในปีแรก

2540

  • เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ไฟน์ไลน์
  • ซึ่งส่งผลให้เกิดความเติบโตอย่างก้าวกระโดด ของทั้ง 2 บริษัท เนื่องจากผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มไฟน์ไลน์ ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภค โดย variant สีชมพู ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ติดต่อกันอย่างยาวนาน จากผลการสำรวจ Retail Audit โดย บริษัท AC Nielsen Thailand
  • แนะนำผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ ดีนี่ เริ่มจากผลิตภัณฑ์ซักผ้า มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ภายใน 1 ปี

2542

  • ขยายไลน์สินค้าเข้าสู่ตลาด ดีโอดอแรนท์ผู้หญิง ภายใต้แบรนด์ วีไวต์ ด้วยจุดขายที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย

2545

  • เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายครีมอาบน้ำภายใต้แบรนด์บีไนซ์ โดยมีจุดขายที่โดดเด่น แตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด คือมีจุดขายในเรื่องการกระชับผิว และมีส่วนผสมจากผลไม้ พร้อมกลิ่นหอมแนวผลไม้ ได้รับความนิยม
  • มียอดขายเป็นอันดับ 3 ในตลาดทันที โดย Variant สีเขียว ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหลายช่องทางการจัดจำหน่ายหลักจนถึงปัจจุบัน

2546

  • เปลี่ยนระบบ Back Office BPICS เป็นระบบ ERP(Enterprise Resource Planning) ของ SAP เพื่อรองรับปริมาณยอดขายและการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างมาก
  • แตกไลน์สินค้าโคโลญ ในราคาประหยัด ภายใต้แบรนด์ จีนี่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

2548

  • ขยายเข้าสู่ตลาด ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มราคาประหยัด ภายใต้แบรนด์ สมาร์ท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค มีส่วนแบ่งการตลาด เป็นอันดับ 2 ของเซกเมนต์นี้ ภายใน 1 ปี

2550

  • จัดตั้งแผนก Export เพื่อรองรับความสนใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัท จากหลากหลายประเทศ โดยมียอดขายเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

2551

  • จากความสำเร็จของ ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนสำหรับเด็ก จึงขยายเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวสำหรับเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์สบู่เหลว โลชั่น ฯ

2552

  • สร้างเซกเมนต์ใหม่ในตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวสำหรับเด็กในประเทศ สำหรับเด็กวัย 3 ขวบ ขึ้นไป ในชื่อ ดีนี่คิดส์
  • ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยดีนี่คิดส์ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในเซกเมนต์นี้

2553

  • ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้ง ประกอบด้วย แป้งหอมเย็น และแป้งเด็ก ตามเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภค
  • ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นบ้านและห้องน้ำ ภายใต้แบรนด์ โทมิ

2554

  • เล็งเห็นเซกเมนต์ที่เป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับแบรนด์ไฟน์ไลน์ จึงได้เริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซักผ้าไฟน์ไลน์ สูตรเข้มข้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนการใช้ จากผงซักฟอกมาเป็นผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ซึ่งประสบความสำเร็จ เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เนื่องจากมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 โดยเป็นแบรนด์เดียวที่ไม่มีฐานของผงซักฟอกมาก่อน
  • ในปีเดียวกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม จึงได้เริ่มแนะนำ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้นพิเศษ ออกสู่ตลาดด้วย

2555

  • เล็งเห็นถึง Lifestyle การแต่งตัวของผู้บริโภค ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับความต้องการความสะดวกสบายในการรีดผ้า ผลิตภัณฑ์ไฟน์ไลน์รีดผ้า ในฐานะที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศมาตลอด จึงได้นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์รีดผ้าสำหรับเตารีดไอน้ำ ให้กับผู้บริโภค สร้างความแปลกใหม่และช่วยกระตุ้นตลาดได้อย่างน่าพอใจ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเติบโตสูงต่อเนื่องมาโดยตลอด มีส่วนแบ่งการตลาด 7% จากมูลค่าตลาดรีดผ้ารวม

2557

  • ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Oral Care ภายใต้แบรนด์ ดีนี่ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะ กลุ่มผู้บริโภคประจำของดีนี่

2558

  • เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความพร้อมในการลงทุนเพื่อแข่งขันทางการตลาดและมุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น โดยทีมงานบริหารยังเป็นทีมเดิม
  • จัดตั้งทีม Analyst เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินทั้งในแง่ผลการดำเนินงาน การวางแผนให้กับทีมผู้บริหารเพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

2559

  • ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ เป็น บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด และ บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด
  • ปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ถือหุ้นในบริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด จำนวน 97.14% เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • เริ่มก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าใหม่ที่ รังสิต คลอง13 โดยมีเนื้อที่ 185 ไร่ เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเติบโตขึ้นตามยอดขายของบริษัท โดยโรงงานใหม่สามารถผลิตได้เพิ่มขึ้น 97% จากกำลังการผลิตเดิม
  • นำ Lean management project มาใช้ในกลุ่มบริษัท เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
  • เปลี่ยนระบบ SAP-Database จาก Database Oracle เป็น Database HANA

2560

  • ย้ายสำนักงานใหม่มาอยู่ที่ อาคาร นีโอ คอร์ปอเรท ซอยสุขุมวิท 54
  • Upgrade ระบบ SAP เป็น Version SAP Simple Finance
  • เปลี่ยนมาตรฐานการบันทึกบัญชีจาก ชุด NPAEs (สำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ เป็น ชุด PAE (สำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ)

2561

  • โรงงานและคลังสินค้าใหม่ที่ รังสิต คลอง13 พร้อมใช้งาน บริษัทเริ่มย้ายโรงงานและคลังสินค้าไปที่โรงงานใหม่ โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบในเดือน กันยายน 2561
  • นำระบบ AS/RS มาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า โดยระบบ AS/RS เป็นการจัดการสินค้าโดยใช้ AI ควบคุม

2562

  • บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ขึ้นเป็นบริษัทที่มียอดขายอันดับ 2 ของประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำ

2563

  • บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ขึ้นเป็นบริษัทที่มียอดขายอันดับ 2 ของประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์สบู่เหลว และ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องพื้น
  • *ไม่รวมผลิตภัณฑ์ดันฝุ่น

2564

  • ตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้า ชนิดน้ำ ขนาด 1300 - 1400 มล. มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดต้องการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ จึงนำเทคโนโลยีระดับสูงมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดถุงเติม รุ่นหัว Spout เพื่อช่วยรองรับการเติบโตของตลาดได้อย่างทันท่วงที

2565

  • นำระบบเทคโนโลยีแบบใหม่ล่าสุดเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้า เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำสูงสุด

For the best experience, we recommend viewing the site in portrait orientation on mobile devices.