เคยสงสัยกันไหมว่า เบื้องหลังความซุกซน และเสียงครางออดอ้อนที่แสนน่ารักของแมวเหมียวที่เราเลี้ยงดูอยู่ทุกวัน มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ? วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับแขกไม่ได้รับเชิญ ที่อาจแอบซุ่มโจมตีสุขภาพของเจ้าเหมียวอยู่ นั่นก็คือ “โรคหัดแมว” หรือที่บางคนอาจรู้จักในชื่อ “ไข้หัดแมว” นั่นเอง
โดยบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเชื้อโรคตัวน้อย ๆ ที่อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับระบบภายในของน้องแมว และค้นหาคำตอบที่จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ

ไข้หัดแมว อาการและสิ่งที่ทาสควรรู้ !
โรคหัดแมว หรือชื่อเต็ม ๆ ที่คุณหมอเรียกว่า Feline Panleukopenia Virus (FPV) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสตัวร้ายที่จู่โจมระบบภูมิคุ้มกัน และระบบทางเดินอาหารของน้องแมวโดยตรง เปรียบเสมือนศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้เม็ดเลือดขาวของน้องลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และต่อสู้กับเชื้อโรคอื่น ๆ ได้อย่างยากลำบาก
สิ่งที่ต้องเน้นย้ำ คือ หัดแมว ต่างจาก หวัดแมว โดยสิ้นเชิง ! หวัดแมวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ มีอาการคล้ายคนเป็นหวัด เช่น ไอ จาม น้ำมูกไหล แต่หัดแมวจะส่งผลร้ายแรงถึงระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันโดยตรง ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในลูกแมวที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง |
อาการหัดแมว มีอะไรบ้าง ?
น้องแมวเป็นหัดจะแสดงอาการที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะรุนแรงและแย่ลงอย่างรวดเร็ว ถ้าสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์ทันที
หัดแมว อาการเริ่มต้น คือ น้องจะดูไม่มีชีวิตชีวา ไม่เล่น ไม่ซนเหมือนเคย นอนซึมอยู่ตลอดเวลา ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ต่อมาน้องจะเริ่มไม่กินอะไรเลย หรือกินได้น้อยมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำและขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จากนั้นตัวจะร้อนจี๋ เหมือนมีไข้หวัด แต่เป็นไข้ที่สูงกว่าปกติ
อาเจียนรุนแรง อาเจียนออกมาเป็นอาหาร น้ำ หรือแม้กระทั่งน้ำเหลือง บางครั้งอาจมีฟองปน ท้องเสียอย่างหนัก ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางครั้งมีมูกเลือดปน และมีกลิ่นคาวรุนแรง อาการท้องเสียนี้จะทำให้น้องขาดน้ำอย่างรวดเร็วและอาจช็อกได้ ซึ่งน้องอาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณท้อง คล้ายกับปวดท้องรุนแรงร่วมด้วย
เมื่อตรวจเลือด จะพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติอย่างน่าตกใจ ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อีกทั้ง ในลูกแมวอาจแสดงอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น การทรงตัวไม่ดี เดินเซ หรือตาบอดได้ในบางกรณี

Q & A : โรคหัดแมว
อาการของโรคหัดแมวจะแสดงภายในกี่วัน
หัดแมว ระยะฟักตัวค่อนข้างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากที่น้องแมวได้รับเชื้อไวรัสเข้ามาในร่างกาย
- ใหญ่ : น้องแมวที่ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วยภายใน 3-5 วัน
- บางกรณี : อาจใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย ไม่เกิน 10 วัน หรือในบางแหล่งข้อมูลระบุว่าอาจนานถึง 14 วันได้
โรคหัดแมวติดคนไหม
โรคหัดแมว ไม่สามารถติดต่อสู่คนได้ แต่คนสามารถเป็นพาหะนำเชื้อจากแมวป่วยไปสู่แมวตัวอื่นได้ โดยเชื้อไวรัสอาจติดอยู่ตามเสื้อผ้า รองเท้า หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ
โรคหัดแมวมีสิทธิ์หายไหม
โรคหัดแมวเป็นโรคร้ายแรงที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในลูกแมวที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งอัตราการตายอาจสูงถึง 25-90%
อย่างไรก็ตาม หากถามว่าโรคไข้หัดแมว มีโอกาสรอดไหม คำตอบ คือ มี หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และได้รับการดูแลประคับประคองอย่างตรงจุด

วิธีรักษาโรคหัดแมว เพื่อเพิ่มโอกาสรอดของน้องแมวให้มากที่สุด
การที่น้องแมวป่วยด้วยโรคหัดแมว เป็นช่วงเวลาที่น่าใจหายสำหรับทาสแมวทุกคน แต่ถึงแม้จะเป็นโรคที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิต การรักษาที่รวดเร็วและถูกต้องก็สามารถเพิ่มโอกาสรอดให้กับน้องแมวได้อย่างมหาศาล ฉะนั้น มาดูกันว่าดีกว่าว่าคุณหมอจะใช้วิธีการรักษาแบบไหน เพื่อช่วยให้เจ้าเหมียวของเรากลับมาสดใสได้อีกครั้ง
❤️🩹 การแก้ไขภาวะขาดน้ำและภาวะช็อก
หัวใจสำคัญของการรักษาโรคหัดแมวประการแรก คือ การแก้ไขภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากการอาเจียนและท้องเสียอย่างหนักที่น้องแมวต้องเผชิญ คุณหมอจะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปรับสมดุลเกลือแร่ในร่างกายที่เสียไปอย่างระมัดระวัง
* การให้สารน้ำที่เพียงพอและต่อเนื่องไม่เพียงช่วยให้น้องแมวไม่ช็อก แต่ยังช่วยรักษาระบบการทำงานของอวัยวะภายในให้เป็นปกติ และทำให้ร่างกายมีแรงที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น *

❤️🩹 การควบคุมอาการอาเจียน
อาการอาเจียนที่รุนแรงของโรคหัดแมวไม่เพียงทำให้ร่างกายขาดน้ำ แต่ยังทำให้น้องแมวไม่สามารถกินอาหารหรือยาได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว คุณหมอจึงจำเป็นต้องให้ยาฉีดเพื่อลดอาการอาเจียนโดยเฉพาะ
* การควบคุมอาการอาเจียนจะช่วยให้น้องแมวรู้สึกสบายตัวขึ้น และทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและยาอื่น ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพโดยรวมให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด *
❤️🩹 การป้องกันและรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
เมื่อภูมิคุ้มกันของน้องแมวอ่อนแอลงอย่างมากจากฤทธิ์ของไวรัสหัดแมว ร่างกายจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ฉวยโอกาสเข้ามาโจมตี คุณหมอจึงจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดในวงกว้าง เพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
* การป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จะทำให้สถานการณ์ของน้องแมวแย่ลงไปอีก และลดโอกาสในการรอดชีวิตลงอย่างมาก *
❤️🩹 การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
นอกจากการรักษาอาการตามระบบแล้ว การช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของน้องแมวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง คุณหมออาจพิจารณาให้วิตามินรวม วิตามินบำรุง
ในบางกรณีอาจให้ซีรั่มที่มีภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Hyperimmune Serum) หรือเลือดจากแมวที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคหัดแมว เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานเฉพาะกิจ ทำให้ร่างกายของน้องแมวมีพลังที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสหัดแมวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

❤️🩹 การดูแลอื่น ๆ
นอกเหนือจากการรักษาหลักที่กล่าวมา การดูแลประคับประคองเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้น้องแมวฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งคุณหมอมักแนะนำให้ทาสอย่างเราหมั่นดูแลความสะอาดของน้องแมวและสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อโรค
โดยให้ใช้ ทิชชู่เปียกสำหรับสัตว์เลี้ยง เช็ดตัวน้องเบา ๆ เพื่อรักษาความสะอาดของขนและผิวหนัง รวมถึงการทำความสะอาดพื้นที่ที่น้องอยู่ ด้วย น้ำยาถูพื้นสำหรับสัตว์เลี้ยง และสำหรับภาชนะใส่อาหาร/น้ำ ควรล้างด้วย น้ำยาล้างจานสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่อ่อนโยน ปลอดภัย เพื่อสุขอนามัยที่ดีของน้องแมว และป้องกันการติดเชื้อซ้ำ หรือการแพร่เชื้อสู่แมวตัวอื่นในบ้าน
นอกจากนี้ คุณหมออาจมีการให้วิตามินและสารอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอ และเมื่ออาการดีขึ้น อาจมีการป้อนอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่ายในปริมาณน้อย ๆ บ่อยครั้ง เพื่อฟื้นฟูระบบทางเดินอาหารให้กลับมาทำงานเป็นปกติ
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า การดูแลเอาใจใส่ทุกรายละเอียดเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้น้องแมวของเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างปลอดภัย และกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งหนึ่ง